แชร์เคล็ดลับ วิ่งจ๊อกกิ้ง เผาผลาญแคลอรี่ได้ถึงสองเท่า

แชร์เคล็ดลับ วิ่งจ๊อกกิ้ง เผาผลาญแคลอรี่ได้ถึงสองเท่า
หัวข้อที่น่าสนใจ

การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุด เพราะสามารถทำได้ง่ายและเป็นที่นิยมสำหรับคนจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือการ วิ่งจ๊อกกิ้ง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูงและมีความเข้มข้นสูง การเริ่มต้นออกกำลังกาย หรือกลับมาออกกำลังกายอีกครั้งนั่นเป็นเรื่องที่ดีเสมอ โดยเฉพาะการวิ่งซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำได้ง่ายแถมยังเป็นที่นิยมสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่อาจจะมีหลายประเภท เช่น วิ่งมาราธอน วิ่งเทรล วิ่งในน้ำ รวมถึงการ Jogging ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ในบทความนี้ Workoutkan จะมาแชร์เคล็ดลับ วิ่งจ๊อกกิ้ง วิ่งยังไงถึงจะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ถึงสองเท่า 

casinovega บาคาร่าออนไลน์ เล่นยังไง mgs888 mgs888.vip juth88 โปรโมชั่นเครดิตฟรี สมัคร juth88 faw99 เครดิตฟรี
แชร์เคล็ดลับ วิ่งจ๊อกกิ้ง
แชร์เคล็ดลับ วิ่งจ๊อกกิ้ง

เริ่มต้นวิ่งจ๊อกกิ้งได้อย่างไร? 

สำหรับผู้ที่เริ่มต้น หรือไม่ได้วิ่งมาสักระยะหนึ่ง รวมถึงมีการเคลื่อนไหวน้อย เป็นเวลาอย่างน้อย 2 – 3 เดือน หรืออาจเป็นเรื่องยากเล็กน้อยในการเริ่มต้นวิ่งอีกครั้ง และอาจจะต้องเริ่มต้นด้วย การเดินเร็ว ๆ อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ก่อนที่จะเริ่ม เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวและชินกับการเคลื่อนไหวสักระยะก่อน เมื่อไรที่ไม่ได้วิ่งมาสักระยะแล้ว การที่เริ่มต้นวิ่งเลยโดยที่ไม่เดินเร็ว ๆ ก่อน จะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อ ข้อต่อ และเส้นเอ็น รวมถึงเกิดอาการอักเสบของกล้ามเนื้อได้ แนะนำว่าให้ค่อยไปค่อยไป

ประโยชน์ของการวิ่งจ๊อกกิ้ง

จ๊อกกิ้งเป็นรูปแบบการออกกำลังกายที่ยอดเยี่ยมที่ให้ประโยชน์มากมายทั้งต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต และมีประโยชน์ดังต่อไปนี้

  1. ปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด : การวิ่งออกกำลังกายทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น และปรับปรุงสุขภาพหัวใจ หลอดเลือดต่าง ๆ โดยการเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ และปริมาณออกซิเจนที่ได้รับเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิค
  2. ช่วยลดน้ำหนัก : การวิ่งออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีในการเผาผลาญแคลอรี่ ช่วยลดน้ำหนักได้เมื่อทำควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  3. กระตุ้นอารมณ์ : การ Jogging จะหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งช่วยเพิ่มอารมณ์ดี ช่วยลดความเครียด และความวิตกกังวลลงได้
  4. เพิ่มระดับพลังงาน : การวิ่งเหยาะ ๆ เป็นประจำสามารถเพิ่มระดับพลังงานโดยรวม และลดความเหนื่อยล้าได้
  5. เสริมสร้างกล้ามเนื้อ : การวิ่งจ๊อกกิ้งสามารถช่วยให้กล้ามเนื้อขาแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขา เอ็นร้อยหวาย และน่อง
  6. ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก : สามารถช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก โดยลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้
  7. ช่วยปรับปรุงการนอนหลับให้ดีขึ้น : การวิ่งเหยาะ ๆ เป็นประจำสามารถปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับให้ดีขึ้น ช่วยให้รู้สึกได้พักผ่อนมากขึ้น และช่วยให้ตื่นตัวในระหว่างวันหรือไม่ง่วงระหว่างวันได้นั่นเอง
การ วิ่งจ๊อกกิ้งอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือ 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์
การ Jogging อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือ 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์

วิ่งกี่นาทีถึงจะมีประสิทธิภาพ?

ต้องบอกเลยว่าขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุ ระดับความฟิต และสุขภาพโดยรวม อย่างไรก็ตาม การ Jogging อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือ 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ จะส่งผลดีต่อสุขภาพและมีประสิทธิภาพมากกว่าแน่นอน สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มอย่างช้า ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มเวลา และความเข้มข้นของการวิ่งหลังจากชำนาญแล้ว

เคล็ดลับ วิ่งจ๊อกกิ้ง ให้เผาพลาญพลังงานได้สองเท่า 

1. เริ่มต้นด้วยการเดินเร็ว ๆ

Jogging สำหรับผู้ที่เริ่มต้น หรือไม่ได้วิ่งมาสักระยะหนึ่ง รวมถึงมีการเคลื่อนไหวน้อย เป็นเวลาอย่างน้อย 2-3 เดือน อาจเป็นเรื่องยากเล็กน้อย และอาจจะต้องเริ่มต้นด้วย การเดินเร็ว ๆ อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ก่อนที่จะเริ่มจ๊อกกิ้งจะดีที่สุด เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวและชินกับการเคลื่อนไหวก่อนสักระยะ

2. วอร์มอัพร่างกายก่อนวิ่งอย่างน้อย 5 – 10 นาที

เพื่อให้เลือดสูบฉีด และเพื่อป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น การวอร์มอัพก่อนวิ่งจึงสำคัญมากต่่อการ Jogging ในแต่ละครั้ง โดยมีท่าที่อยากจะแนะนำดังนี้

  1. ท่าสควอท (Squat)
  2. ท่ากระโดดตบ (Jumping Jacks)
  3. ยืดกล้ามเนื้อสะโพกด้านหน้า (Lunge)
  4. ท่าแตะปลายเท้า (Foot Touching)

3. เดินสลับกับวิ่งจ๊อกกิ้ง

ให้สลับระหว่างจ๊อกกิ้งและเดิน เช่น ระหว่างการวิ่ง 2-3 ครั้งแรก อาจสลับระหว่างจ๊อกกิ้ง 5 นาทีและเดิน 2 นาทีตลอดช่วงการวิ่ง เมื่อคุ้นเคยกับการ Jogging แล้ว ก็จะสามารถรักษาอัตราการวิ่งให้นานขึ้นก่อนที่จะเปลี่ยนกลับไปเดิน 

4. ฝึกการรักษาท่าทางที่เหมาะสมขณะวิ่งจ๊อกกิ้ง

คนส่วนใหญ่คิดว่าระยะทางและระยะเวลาที่วิ่งนั้นขึ้นอยู่กับความอดทน และความมุ่งมั่นเท่านั้น แต่การมีรูปแบบท่าทางการวิ่งที่เหมาะสมส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานอย่างมาก ดังนั้นเพื่อให้การ Jogging เกิดประโยชน์สูงสุดและป้องกันการบาดเจ็บคือ

  1. ตั้งศีรษะให้ตรง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อคอ หาจุดโฟกัส
  2. ผ่อนคลายไหล่ ปล่อยไปตามธรรมชาติ
  3. งอแขนในมุม 90° และให้มือผ่อนคลาย
  4. โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยโดยไม่ก้มเอว
  5. ยกสะโพกให้มั่นคง
  6. หลีกเลี่ยงการยกเข่าสูงเกินไป
  7. กระแทกพื้นเบา ๆ ด้วยกลางเท้า (ไม่ใช่ส้นเท้าหรือนิ้วเท้า)

5. หายใจสม่ำเสมอขณะวิ่ง

การรักษาอัตราการหายใจให้สม่ำเสมอ นั่นคือ หายใจลึก ๆ เข้าไปในท้องแทนที่จะหายใจตื้น ๆ เข้าไปในอก ลองหายใจเข้า 1 ครั้งทุก ๆ 2 ก้าวเพื่อช่วยให้หายใจสม่ำเสมอ เนื่องจากในระหว่างการวิ่งอาจจะรู้สึกอยากหอบหรือหายใจเร็ว ๆ ตื้น ๆ ขณะวิ่ง แต่คุณจะได้รับออกซิเจนมากขึ้น และรักษาพลังงานได้ดีขึ้นหากคุณหายใจช้า ๆ และลึก ๆ 

จะต้องวอร์มอัพหรืออบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกายทุกครั้งและคูลดาวน์หลังออกกำลังกาย
จะต้องวอร์มอัพหรืออบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกายทุกครั้งและคูลดาวน์หลังออกกำลังกาย

6. รักษาความชุ่มชื้นในขณะที่วิ่ง

สำหรับการ Jogging อาจทำให้เกิดอาการขาดน้ำได้ ซึ่งอาจทำให้หมดพลังงาน และเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ แนะนำว่าให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 470 มล. 1 – 2 ชั่วโมงก่อนวิ่ง และดื่มน้ำ 4 – 6 จิบทุก ๆ 15 – 20 นาทีระหว่างวิ่ง 

7. หลังจาก Jogging เสร็จแล้ว ให้คูลดาวน์ด้วยการเดิน 5 – 10 นาที

หลังจากวิ่งเสร็จ สิ่งที่ห้ามลืมเลยคือการยืดเหยียดเบา ๆ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ สามารถยืดเหยียดอยู่กับที่ได้ และยืดแต่ละครั้งค้างให้ไว้ 15 – 30 วินาที

การวิ่งให้ถูกวิธีจะสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถ Jogging ควบคู่ไปกับการปั่นจักรยาน หรือการออกกำลังกายแบบแอโรบิกได้เช่นเดียวกันค่ะ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจะต้องวอร์มอัพหรืออบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกายทุกครั้งและคูลดาวน์หลังออกกำลังกาย เพื่อลดการบาดเจ็บและการฟื้นฟูร่างกายที่ดีกว่า 

sponsor by www.essexinfo.net