ใครชอบทานหวานมารวมตัวกันตรงนี้เลยค่า เพราะว่าวันนี้เราจะมาแชร์ทริคดี ๆ ในการ “กินของหวาน” ทานยังไงให้บาลานซ์สุขภาพ น้ำหนักไม่ขึ้น แถมยังไม่ส่งผลเสียกับสุขภาพอีกด้วย รับรองว่ากินได้แบบสบายใจและไม่รู้สึกผิดต่อสุขภาพของตัวเองอีกด้วยน๊า ถ้าใครอยากรู้แล้วว่าทริคดี ๆ ที่เราเอามาฝากนั้นจะมีอะไรบ้างอย่ามัวเสียเวลาเลยค่ะ ไปดูพร้อมกันเล้ยยย!
ข้อที่ 1 อย่าเสียดาย ! กินในปริมาณที่พอดี

การรับประทานอาหารไม่ว่าจะเป็นของคาว เมนูของหวาน หรือแม้แต่ผลไม้ต่างก็ต้อง รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ และพอดีกับร่างกาย มิเช่นนั้นอาจจะเกิดผลเสียต่อร่างกายได้ การรู้จักหักห้ามใจตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้ว่าเพื่อน ๆ จะรู้สึกอยากกินมากแค่ไหนก็ตาม กินแบบพอดี ๆ เอาให้พอหายอยาก อย่าถึงขนาดขั้นที่กินแทนข้าวเลยนะคะซิส
ข้อที่ 2 กินของหวาน Low-Fat หรือขนมคลีนแทน

หากใครที่ชอบกินของหวานเป็นชีวิตจิตใจ ขอบอกว่าทริคนี้ตอบโจทย์มาก ๆ เลยล่ะค่ะซิส เพราะว่าในปัจจุบัน มีหลากหลายร้านที่ขายขนมหวานแบบ 0% หรือ Low-Fat รวมไปถึงขนมคลีนต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ การเลือกรับประทานของเหล่านี้จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่ชอบกินหวาน แต่ก็อยากจะรักษาสุขภาพในเวลาเดียวกัน แถมรสชาติยังอร่อยไม้แพ้กัน
ข้อที่ 3 นับแคลอรีก่อนทานทุกครั้ง

สูตรการคำนวณแคลอรี่ก่อนทานถือว่าใช้ได้ผลมากจริง ๆ นะคะ ถ้าหากไม่อยากอ้วนเพราะการกิน เพื่อให้เรารู้ว่าของกินแต่ละอย่างที่รับประทานเข้าไปให้พลังงานปริมาณเท่าไหร่กับร่างกาย และมีแคลอรี่มากเกินไปหรือไม่ต่อพลังงานที่เราควรจะได้รับในแต่ละวัน ซึ่งสามารถคำนวณหาปริมาณแคลอรี่ที่เราควรได้รับต่อวันได้แบบง่าย ๆ ได้ดังนี้
- BMR สำหรับผู้ชาย = 66 + (13.7 X น้ำหนักตัวปัจจุบันเป็นกิโลกรัม) + (5 x ส่วนสูงปัจจุบันเป็นเซนติเมตร) – (6.8 x อายุปัจจุบัน)
- BMR สำหรับผู้หญิง = 665 + (9.6 x น้ำหนักตัวปัจจุบันเป็นกิโลกรัม) + (1.8 x ส่วนสูงปัจจุบันเป็นเซนติเมตร) – (4.7 x อายุปัจจุบัน)
ข้อที่ 4 กินแล้วก็ต้องออกกำลังกาย ห้ามขี้เกียจ!

แน่นอนว่าการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการควบคุมปริมาณน้ำตาลที่ทานเข้าไปนั้นไม่เพียงพอต่อการรักษาสุขภาพ เมื่อเรากินขนมที่แสนโปรดปรานเข้าไป ก็ต้องรู้จักในการเบิร์นออกเช่นเดียวกันนะ การออกกำลังกายจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดี ส่วนใครถนัดออกกำลังกายประเภทไหนก็เลือกได้ตามถนัดเลยค่ะ
ข้อที่ 5 ดื่มชาเขียวร้อนหลังกินของหวานช่วยได้

มีการพูดถึงการทานขนมและจิบชาไปด้วย ต้องขอบอกว่ามันมีเหตุผลอยู่นะ เพราะชาเขียวร้อนมีสรรพคุณที่ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมัน ลดคอเลสเตอรอลและยังมีส่วนช่วยในการเพิ่มความไวของอินซูลิน ลดระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย บอกเลยว่าเป็นทริคที่เริ่ดสุด ๆ แต่ว่าต้องเป็นชาเขียวร้อนแบบออริจินอลไม่มีน้ำตาล หรือนมมาผสมน๊า ไม่งั้นจากที่ช่วยบำรุงร่างกายจะกลายเป็นผลเสียคูณสองเลยล่ะ
ข้อที่ 6 กินของหวานให้เป็นเวลา

ใครที่ชอบกินของหวานตลอดเวลา แนะนำว่าให้เบรกด่วน ๆ เลย เพราะถ้าไม่อยากกินเยอะจนกลายเป็นการทำร้ายร่างกายไปล่ะก็ ควรที่จะกินให้เป็นเวลาและรู้จักจำกัดขอบเขตของการกินของตัวเองจะเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เช่น อาจจะกำหนดไว้ว่าใน 1 อาทิตย์สามารถทานได้กี่วัน และใน 1 วันกินได้กี่ครั้ง หรืออาจจะทานให้เป็นช่วงเวลา ไม่ทานตอนกลางคืน เป็นต้น
ข้อที่ 7 กินตามใจปาก และลดแป้งกับน้ำตาลในวันถัดมา

มาถึงทริคสุดท้ายที่เหมาะกับคนชอบทานขนมหวานสุด ๆ และไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้ หากวันไหนที่รู้สึกอยากกินมากเป็นพิเศษ ให้เพื่อน ๆ กินให้เต็มที่ไปเลยค่ะ อาจจะยกให้เป็นวัน Cheat Day ไปเลย 1 วันแบบจัดหนักจัดเต็ม แล้วต้องหยุด!! ในวันถัดมาให้ทำการลดอาหารทุกชนิดที่มีแป้งกับน้ำตาลลง เพื่อชดเชยกับปริมาณของอาหารที่เราได้กินเข้าไปก่อนหน้านั่นเอง
เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับทริคการกินของหวาน เพื่อให้เกิดความบาลานซ์กับสุขภาพ ขอบอกเลยว่าหากลองทำตามทั้ง 7 ข้อที่เรานำมาฝากนี้ไม่เป็นผลเสียกับร่างกายของเพื่อน ๆ แน่นอน นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นอีกทางเลือกของสายชอบกินหวาน สายขนมหวานต่าง ๆ แต่ไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้ด้วยน๊า ครั้งหน้าเราจะมีคอนเทนต์ความสวยความงาม หรือบิวตี้ไอเทมอะไรใหม่ ๆ มาอัปเดตก็สามารถติดตามได้ทาง
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ workoutkan