ในปัจจุบัน Water Fasting กลายเป็นเทรนด์ของการลดน้ำหนักที่ทำได้ง่ายอีกหนึ่งวิธีเลยล่ะ และแน่นอนว่ากำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมากในกลุ่มของคนที่อยากจะลดความอ้วน เพราะมีวิธีการที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ใช้เวลาไม่นาน แถมยังสามารถเริ่มลองทำได้เพียง 3 วันเท่านั้น! ซึ่งเห็นผลได้อย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำเปล่าเพื่อลดน้ำหนักจะไม่สามารถทานอาหารอย่างอื่นได้ในระยะเวลาที่กำหนดได้ค่ะ จึงเกิดข้อถกเถียงกันในเรื่องของสารอาหารที่มีประโยชน์ พลังงานต่างๆ ว่าการลดน้ำหนักแบบนี้จะเป็นผลดี หรือเป็นอันตรายต่อร่างกายของเรากันแน่ ดังนั้นเราไปหาคำตอบกัน!
Water Fasting ทำได้อย่างไร อันตรายหรือไม่
คือ การดื่มน้ำอย่างเดียวโดยไม่รับประทานอาหาร ตามเวลาที่ตนเองกำหนด คนส่วนใหญ่จะทำกันแค่ 3 วันเท่านั้น การขยับวัน และเวลาที่เพิ่มขึ้น สามารถทำได้ตามความสามารถของร่างกาย ว่าสามารถรับได้มาก หรือน้อยเพียงใด แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำว่าเวลาที่ดีที่สุดของการ Water Fasting คือ 24 – 72 ชั่วโมง และดื่มน้ำให้เพียงพอในปริมาณ 2 – 3 ลิตร ตามปริมาณน้ำที่ควรได้รับต่อวัน หากอย่างได้อย่างหนึ่งไม่สมดุลอาจเกิดอันตรายได้
Water Fasting สามารถลดน้ำหนักได้อย่างไร
การดื่มน้ำเพื่อลดน้ำหนัก คือ การกระตุ้นให้ฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเผาผลาญที่ไวและดียิ่งขึ้น เหมาะสำหรับบุคคลที่ระบบการเผาผลาญไม่คงที่ เหงื่อออกยาก โดยน้ำที่ดื่มไปนั้นจะไปกระตุ้นฮอร์โมนที่มีชื่อว่าอินซูลิน (Insulin) และเลปติน (Leptin) เป็นฮอร์โมนตัวสำคัญที่มีผลต่อกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย ทำให้เกิดการตอบสนอง การทำงาน และการเผาผลาญที่ไวมากขึ้น เปรียบเสือนการรีเซตระบบเผาผลาญ และการดีท็อกซ์ร่างกายไปในตัว การดื่มนน้ำจึงทำให้ร่างกายมีการกระตุ้นฮอร์โมนทั้ง 2 ประเภทข้างต้น สร้างระบบการเผาผลาญของร่างกายให้ไวมากขึ้น น้ำหนักจึงลดลงได้จริง
ข้อดีของการ Water Fasting
- ช่วยปรับสมดุล และรีเซตระบบในร่างกาย
- ดีท็อกซ์ของเสียในร่างกายได้ดี
- เกิดการกลืนกินเซลล์ หรือกระบวนการ Autophagy เพื่อสร้างเซลล์ใหม่ที่แข็งแรง ทำให้ลดสาเหตุที่อาจก่อให้เกิดโรคเรื้อรังได้
- เสริมสร้างระบบเผาผลาญให้คงที
- ลดความดันโลหิต
- ลดน้ำหนัก
- ร่างกายตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลิน และฮอร์โมนเลปตินดีขึ้น
ประเภทการลดน้ำหนัก Water Fasting
การลดความอ้วนด้วยวิธีนี้จะมี 2 ระยะด้วยกันค่ะ คือการอดอาหาร 24-72 ชม. และ การคุมอาหารหลังการอดอาหาร
1. Water fast (24-72 ชั่วโมง)
เป็นระยะที่เราทำการอดอาหารทุกชนิดในช่วง 24-72 ชั่วโมง ในช่วงที่ทำแนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ โดยส่วนใหญ่ปริมาณน้ำที่ดื่มจะอยู่ที่ 2-3 ลิตรต่อวัน เพื่อทนแทนปริมาณน้ำจากอาหารที่ขาดไป เพราะว่ากว่า 20-30% ของน้ำในร่างกายมาจากอาหารที่กิน ดังนั้นหากทุกคนต้องการลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ จึงต้องดื่มน้ำให้มากกว่าปกติค่ะ ในช่วงที่ Water fast อาจมีอาการวินเวียนศรีษะ หรือ มีอาการตาพร่ามัว หากใครที่ต้องขับรถเป็นประจำ หมอไม่แนะนำให้ลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้นะคะ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นจึงต้องระวังเรื่องนี้ให้มาก ๆ
2. Post fast (1-3 วัน)
สำหรับช่วงนี้เป็นระยะที่ 2 สำหรับการทำ Fasting ในช่วงวันที่ 1-3 หลังอดอาหาร ควรหลีกเลี่ยงอาหารมื้อหนักหรืออาหารที่ย่อยยาก เนื่องจากกระเพาะของเราไม่ได้รับอาหารมานานหลายชั่วโมง จึงมีโอกาสเกิดปัญหาแน่นท้อง จุกเสียด กรดไหลย้อน และอาหารไม่ย่อยได้ ดังนั้นในช่วง Post fast หมอแนะนำให้ทานอาหารอ่อน ๆ เป็นหลัก เช่น กรีกโยเกิร์ต ผลไม้ เมนูไข่ และปลา เป็นต้น
เกร็ดน่ารู้! : มือใหม่หัด Fasting สำหรับใครที่ไม่เคยลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารมาก่อน จะต้องมีการเตรียมท้องให้พร้อมในช่วงก่อนทำ Fasting 1-3 วัน โดยเริ่มจากการลดปริมาณอาหารที่ทานต่อมื้อลง เพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้ดีสำหรับการอดอาหารค่ะ
การเตรียมตัวก่อน – หลัง Water Fasting
ก่อนการทำ:ควรรับประทานอาหารให้มีสารอาหารครบถ้วน ทานอาหารในปริมาณที่พอดี ไม่ทานอาหารในปริมาณที่มากจนเกินไป ซึ่งอาจทำให้ร่างกาย และกระเพาะอาหารปรับสภาพไม่ทันได้
หลังการทำ:หากทำ Water Fasting ครบกำหนดแล้ว ให้รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน และย่อยง่าย ในปริมาณที่เราต้องการให้ร่างกายปรับเปลี่ยน
ใครบ้างที่ไม่ควรลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้
หลายคนน่าจะพอรับรู้ได้ถึงความเสี่ยงของการทำ Water fasting กันพอสมควรแล้วใช่ไหมคะ และก่อนที่จะตัดสินใจลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ ไปเช็กดูกันก่อนดีกว่าค่ะ ว่ามีใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการกินน้ำลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ ได้แก่
- กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- กลุ่มผู้ป่วยโรคเก๊าท์
- คุณแม่ที่กำลังตั้งครรถ์หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่ต้องทำงานกับเครื่องจักรหรือทำงานกลางแจ้ง
- ผู้ที่ใช้รถเป็นประจำ, คนขับรถสาธารณะ
บทส่งท้าย
การดื่มน้ำลดความอ้วนถึงแม้ว่าจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำแล้วปลอดภัย แต่อย่างไรก็ตามหากมีอาการข้างเคียงตามมา เช่น เกิดอาการเวียนหัว มึนศีรษะ รู้สึกอ่อนเพลียง่าย รวมไปถึงผลข้างเคียงอื่นๆ แนะนำว่าให้ไปพบแพทย์โดยทันที และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่า อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมากที่สุดนั่นก็คือควรตรวจสุขภาพให้แน่นอนก่อนเริ่มทำการลดน้ำหนักแบบ Water Fasting จะได้เห็นผลและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ติดตามอ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ Workoutkan – รับเคล็ดลับดูแลสุขภาพกันเลยที่นี่