หนึ่งในหัวข้อที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ที่ใส่ใจสุขภาพคือ “การเผาผลาญพลังงาน” หลายคนอาจทราบดีว่าการลดน้ำหนักหรือการรักษาน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับ อัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกายด้วย ในบทความนี้ Workoutkan เลยจะขอแนะนำ 6 อาหารกระตุ้นการเผาผลาญได้ดี จะมีอะไรบ้างตามไปดูกันเลยค่ะ
การเผาผลาญพลังงานคืออะไร?
การเผาผลาญพลังงานในร่างกายเกิดจากกระบวนการ เมแทบอลิซึม (Metabolism) ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนอาหารที่เรารับประทานให้กลายเป็นพลังงาน กระบวนการนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอสำหรับการทำกิจกรรมในแต่ละวัน ดังนั้นแนะนำให้ทานอาหารกระตุ้นการเผาผลาญได้ดี
สาเหตุที่ทำให้อัตราการเผาผลาญพลังงานช้าลง
แม้ว่าการเผาผลาญจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ก็อาจมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้อัตราการเผาผลาญช้าลง ได้แก่:
- ความเครียดและความเหนื่อยล้าสะสม เมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียดหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ อัตราการเผาผลาญอาจลดลงได้
- การไม่ออกกำลังกาย การขาดการเคลื่อนไหวหรือการออกกำลังกายส่งผลโดยตรงต่อระบบเผาผลาญ
- อายุ เมื่ออายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญพลังงานจะทำงานช้าลง ซึ่งเป็นกระบวนการทางธรรมชาติ
- ปัจจัยทางพันธุกรรม บางคนอาจมีระบบเผาผลาญที่ช้ากว่าปกติเนื่องจากพันธุกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้
การเข้าใจและดูแลปัจจัยที่เราควบคุมได้ เช่น การออกกำลังกาย การพักผ่อนอย่างเพียงพอ และการจัดการความเครียด จะช่วยส่งเสริมการเผาผลาญพลังงานในร่างกายและส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว
6 อาหารกระตุ้นการเผาผลาญได้ดี
1. อาหารรสเผ็ด
อาหารกระตุ้นการเผาผลาญได้ดี อาหารที่มีรสเผ็ดมากเกินไปอาจทำให้หลายคนไม่ชอบ เพราะกินได้ยาก บางคนถึงขั้นเหงื่อไหลกันเลยค่ะ แต่มีการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการกินอาหารรสเผ็ดช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจได้ และยังช่วยให้เกิดการเผาผลาญพลังงานในร่างกายเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ในพริกพริกทั่วไปยังมีสาร แคปไซซิน (capsaicin) ซึ่งเป็นสารที่ให้ความเผ็ด หนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยชะลอวัยและช่วยให้อารมณ์ดี แต่สำหรับใครที่กินเผ็ดไม่ไหวก็อย่าฝืนนะคะ เลือกกินให้เหมาะสมกับตัวเองก็เพียงพอแล้ว
2. ชาเขียว
หนึ่งในชาที่มีสาร EGCG (Epigallocatechin Gallate) ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน และไขมัน เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยให้น้ำหนักตัวคงที่ ไม่สวิงไปมา ตราบใดที่เราไม่กลบมันด้วยครีมและน้ำตาล ชาเขียวนั้นไม่เพียงแต่ปราศจากแคลอรีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เผาผลาญแคลอรีส่วนเกินได้ดีอีกด้วยค่ะ หากใครที่กำลังมองหาชาเขียวไว้จิบในยามบ่าย มัทฉะ (ชาเขียวญี่ปุ่น) เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดค่ะ เพราะในมัทฉะ มีสาร EGCG (Epigallocatechin Gallate) อย่างน้อย สามเท่าของใบชาเขียวปกติค่ะ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้ดีเช่นกัน แต่อย่าดื่มมากจนเกินควรนะคะ เพราะในชาเขียว หรือชาอื่น ๆ ก็มี คาเฟอีน อยู่ในปริมาณมาก หากดื่มากเกินไป อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่าผลดี
3. ปลาโอเมก้า 3
ปลาที่มีกรดไขมันอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาเทราต์ ปลาทูน่า ซึ่งปลาเหล่านี้อุดมไปด้วยสารอาหารไม่ว่าจะเป็น วิตามินดี แร่ธาตุ และแคลเซียม นอกจากนี้ โอเมก้า 3 ยังช่วยควบคุมความอยากอาหาร และช่วยให้การเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ช่วยกระตุ้นการผลิต เลปติน (Leptin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้ร่างกายรับรู้เมื่ออิ่มนั่นเอง
4. อะโวคาโด
“อะโวคาโด” (Avocados) ผลไม้ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ที่จัดให้เป็น Superfood เพราะอุดมไปด้วยสารอาหาร และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น ไฟเบอร์ โปรตีน และมีสารต้านอนุมูลอิสระ อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่นิยมทานในหมู่คนที่ลดน้ำหนักอีกด้วยค่ะ เพราะให้พลังงานต่ำ แถมยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้ดี หากใครที่กำลังหาอาหารว่างเพื่อสุขภาพ หรือผลไม้ในยามบ่าย อะโวคาโดก็ตอบโจทย์ได้ดีเลย
5. กาแฟดำ
การดื่มกาแฟได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะนอกจากจะให้กลิ่นหอมแล้วยังมีรสชาติแปลกใหม่ให้ลิ้มลองอยู่เสมอค่ะ กาแฟเป็นแหล่งไฟเบอร์ที่ดีเยี่ยม โดยกาแฟ 1 ช้อนโต๊ะ มีไฟเบอร์ถึง 6 กรัม โพแทสเซียม 14 % ธาตุเหล็ก 15 % และแคลเซียม 4 % ให้พลังงาน 30 – 35 แคลอรี แต่เมื่อไรที่เติมนม หรือน้ำตาลเข้าไป จะกลายเป็น 440 แคลอรีทันที แน่นอนค่ะ กาแฟดำให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า อย่างไรก็ตามกาแฟก็ยังเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี และยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้ดีอีกด้วย แต่ไม่ควรดื่มเกิน 3 แก้วต่อวัน หรือมากเกินไปนะคะ เพราะในกาแฟมีสาร ‘คาเฟอีน’ ซึ่งเป็นสารทำให้ตื่นตัว อาจส่งผลให้นอนไม่หลับ และอาจจะทำให้ส่งผลเสียต่อร่างกายได้
6. เกรปฟรุต (Grapefruit)
เกรปฟรุ้ต (Grapefruit) คือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว อยู่ในตระกูลส้ม (Citrus) ซึ่งเกิดจากส้มเช้งและส้มโอ มีรสเปรี้ยวอมหวาน หอม เป็นแหล่งของวิตามินซี เส้นใยอาหาร และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ให้แคลอรีน้อย เหมาะสำหรับอาหารว่างทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ ในเกรปฟรุ้ต (Grapefruit) ยังมีสารประกอบที่เรียกว่า นารินจิน (naringin) ที่ช่วยต้านการอักเสบ และต้านสารอนุมูลอิสระได้ดี ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้ลดน้ำหนัก และยังช่วยให้เพิ่มเผาผลาญได้ดีอีกด้วย
- 5 สัญญาณเตือน ร่างกายขาดโปรตีน ตัวการลดน้ำหนักไม่ได้ผล - December 2, 2024
- แนะนำ 5 อาหารช่วยย่อย ทำงานได้ดีขึ้น มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร - November 25, 2024
- แนะนำ 6 อาหารกระตุ้นการเผาผลาญได้ดี ที่ได้รับความนิยม ในหมู่คนรักสุขภาพ - November 21, 2024